วันพุธที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

ประวัติความเป็นมาของภาษาไทยถิ่นใต้สำเนียงตากใบ(ภาษาเจ๊ะเห)


1 ความหมายหรือที่มาของคำว่า เจ๊ะเหและ ตากใบ
 1.1เจ๊ะเห
                กาลครั้งนั้น...ที่ตากใบ(มาจี้กือไหน...ภาษาว่าจี้ไป่กือไหนนั่นนึ)สำเนียงเนิบๆอันแสนไพเพราะเป็นเสน่ห์ของภาษาเจ๊ะเหภาษาถือเป็นภาษาไทยถิ่นใต้ที่มีเอกลักษณ์พิเศษมีการใช้คำที่แตกต่างจากภาษาไทยถิ่นใต้ทั่วไปค่อนข้างมากคำพูดและสำเนียงภาษาได้สร้างความพิศวงแก่ชาวใต้ด้วยกันเองรวมไปถึงชาวไทยกลุ่มอื่นด้วยนั้นคือสำเนียงพูดเสียงชาวใต้ผสมกับภาษากับภาษาไทยถิ่นเหนือ(เช่น ญิใด๋ในภาษาเจ๊ะเหที่ตรงกับญิใดในภาษาไทยถิ่นเหนือเป็นต้น)
              ท่วงทำนองการพูดนิ่มนวล เนิบช้า ไม่กระด่าง อ้อยสร้อย ผิดกับภาษาถิ่นใต้อื่นๆ ที่ หาว หวนเฉียบขาด เร่งเรา รวบรัด แต่เนื่องจากตากใบ เป็นทางผ่านของนักเดินเรือ นักผจญภัย นักเสี่ยงโชค
นักพรต นักบวช พ่อค้า เคยอยู่ในเขตการปกครองของอาณาจักรโบราณ     
หลายอาณาจักร เชน ลังกาสุกะตามพรลิงค์ ศรีวิชัย มัชปาหิต เจนละ ตลอดจนชาติตะวันตก ทำให้มีภาษาต่างๆปะปนอยู่ในสำเนียงตากใบ(เจ๊ะเห)มากมาย เช่น ภาษาชวา-มาลายู ภาษาเขมร ภาษาจีน ภาษาบาลีสันสกฤต
              เจริญ ไชยชนะ ได้กล่าวไว้ในหนังสือภูมิศาสตร์ประวัติศาสตร์สากล พิมพ์เมื่อ พ.ศ.๒๔๙๒ มี
ข้อความ ดังนี้ประจวบ กันครั้งนั้น มีเหตุเกิดขึ้นในประเทศล้านนาไทย เมื่อพระเจ้าสามฝั่งแกนขึ้นครองเมืองเชียงใหม่เจ้ายี่กุมกามผู้เป็นพระเชษฐาซึ่งครองเมืองเชียงรายอยู่ก็ปรารถนาจะได้ครองเมืองเชียงใหม่จึงยกทัพมาหมายจะรบ แต่กลับสู้ทัพเชียงใหม่ไม่ได้ จึงขอกำลังพระมหาธรรมราชาที่ ๒ ไปช่วยพระมหาธรรมราชาที่ ๒ เห็นเป็นโอกาส จึงเชิญสมเด็จพระราเมศวรขึ้นไปที่เชียงใหม่พระมหาธรรมราชาเป็นทัพหน้า
ครั้งนั้นได้ครอบครัวเป็นพวกไทยลื้อ 
เป็นเชลยมาเป็นอันมาก จึงโปรดให้สั่งไปตั้งภูมิลำเนาอยู่ตามหัวเมืองในแหลมมาลายู นับเป็นต้นวงศ์ของพวกชาวนครที่ยังพูดเป็นสำเนียง ลื้อ และใช้ศัพท์ภาษาไทยลื้อปัจจุบันนี้และจากพงศาวดารสมัยทำให้เชื่อได้ว่ากลุ่มคนที่พูดสำเนียงตากใบ(เจ๊ะเห)ทำให้เขตปัตตานี นราธิวาส ยะลา คนเชื้อสายไทยในมาเลเซีย เป็นคนกลุ่มเดียวกันคืออพยพมาจากภาคเหนือแถบเชียงใหม่สุโขทัยทั้งนี้พิจารณาถึง วัฒนธรรมด้านต่างๆซึ่งเป็นภาษากลางเลิกการใช้แล้วแต่ทางตากใบยังใช้อยู่ดังปรากฏในหนังสือไตรภูมิพระรวง พระราชนิพนธ์ โดย พระมหาธรรมราชาลิไท
                ปัจจุบัน เจ๊ะเหเป็นชื่อของตำบลหนึ่งของอำเภอตากใบอยู่ในเขตจังหวัดนราธิวาสห่างจากตัวเมืองนราธิวาส 33 กิโลเมตร มีเขตติดต่อกับรัฐกลันตันของประเทศมาเลเซียก่อนปี พ.ศ. 2452 เจ๊ะเหอยู่ในเขตครอบครองของรัฐกลันตันคำว่า เจ๊ะเหมีที่มา 2 กระแส คือ
                  กระแสที่ 1 อาจารย์เฉลิม  แสงสุวรรณ อดีตครูใหญ่โรงเรียนโคกมะม่วงได้เล่าความเป็นมาจากคุณพ่อ คือ ขุนวรสิทธิ์สาธร(ดี)อดีตกำนันตำบลพร่อนสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ว่า เจ๊ะเหมาจากคำว่า เจ๊ะเหงเพราะเจ๊ะเหงเป็นคนแรกที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานในบริเวณนี้ต่อมามคนอื่นๆอพยพตั้งถิ่นฐานจนเป็นชุมชนต่อมาเรียกเพี้ยนไปเป็น เจ๊ะเหจนถึงทุกวันนี้
                  กระแสที่ 2 จากเอกสาร ชื่อบ้านนามเมืองนราธิวาสพิมพ์เมื่อ พ.ศ. 2555 หน้า 63 ว่า ที่พ่อค้าจีนแล่นเรือสำเภามาค้าขายและเรื่อล่ม พ่อค้าจีน ไต๋กงพร้อมลูกเรือพยายามช่วยเหลือตัวเองจนสามารถขึ้นเกาะที่อุดมสมบูรณ์แห่งหนึ่งได้ทุกคนเมื่อคลื่นสงบจึงพากันไปกู้เรือและนำสินค้าขึ้นฝั่งได้สำเร็จจากนั้นจึงเอาใบเรือ เสื้อผ้า ตากตามกิ่งไม้ ต้นไม้ มีชาวพื้นเมืองคนหนึ่งมีอาชีพตัดไม้ขายได้มาตัดไม้บริเวณที่พ่อค้าจีนตากใบเรือและเสื้อผ้าเมื่อเห็นสิ่งเหล่านี้จึงคิดขโมยและได้ไปตัดไม้ที่มีเสื้อผ้าตากอยู่แต่พ่อค้าและลูกเรือกลับมาเห็นเสียก่อนจึงร้องเอะอะขึ้นว่า เจ๊ะ.....เฮ้ๆเอาเสื้อผ้าอั๊วคืนมาจึงเป็นชื่อของ เจ๊ะเหในเวลาต่อมา
1.2 ตากใบ
คำว่า ตากใบมีที่มาหลายกระแสล้วนมีความเป็นมาน่าสนใจ คือ
                  กระแสที่ 1 จากหนังสือสารานุกรมวัฒนธรรมไทย ภาคใต้ เล่ม 6 หน้า 2621 ได้ให้ความหมายของคำว่า ตากใบมีการสันนิฐานว่ามาจากชื่อคนไทยมุสลิมคนหนึ่ง ชื่อ ตาบาซึ่งเป็นคนแรกที่เข้าไปตั้งถิ่นฐานในตากใบต่อมาประชาชนในที่ต่างๆได้อพยพเข้าไปอาศัยอยู่กับ ตาบาเพิ่มขึ้นรวมทั้งคนไทยพุทธจากภาคกลางด้วยจนกลายเป็นชุมชนใหย่ขึ้นจึงเรียกหมู่บ้านดังกล่าวว่า ตาบาแต่เดิมบ้านตาบาเป็นแขวงขึ้นอยู่กับเมืองกลันตันอยู่ในเขตตำบลเจ๊ะเหชาวกลันตันและมลายูโดยทั่วไปจึงยังคงเรียกอำเภอตากใบว่า อำเภอเจ๊ะเห
                  กระแสที่ 2 คำว่า ตากใบอาจมาจากคำว่า ตะไบตะไบเป็นชื่อเกาะ เกาะหนึ่งอยู่บริเวณปากแม่น้ำสุไหงโก-ลก มีคนอยู่อาศัยเป็นชุมชนแต่ปัจจุบันเกาะตะไบหายไปอันเนื่องมาจากกระแสน้ำและคลื่นลมทะเลผู้รู้บางท่านว่าตะไบเป็นภาษอาหรับแปลว่าตลาด ตะไบและปรากฏอยู่ในสนธิสัญญากรุงเทพฯ พ.ศ. 2452 (วิมลพรรณ ปิตธวัชชัย 2548 : 849) ด้วยข้อความว่า สัญญาว่าด้วยเขตแดนติดท้ายหนังสือลงวันที่10 มีนาคม รัตนโกสินทร์ศก 127 คฤสตศักราช 1906 ในสัญญาข้อที่ 1 วรรค 7 ว่าบรรดาเกาะที่อยู่ใกล้แขวงเมืองกลันตันและตรังกานูและเส้นใต้บรรทัดตรงทิศตะวันออกและตะวันตกมีลำน้ำโก-ลกจดทะเลที่เรียกว่าปากน้ำตะไบนั้นให้ได้โอนให้เป็นของกรุงอังกฤษและบรรดาเกาะที่อยู่เหนือบรรทัดนั้นให้เป็นของกรุงสยาม”(ตัวอักษรเป็นไปตามหนังสือสัญญา)
                  กระแสที่ 3 เป็นตำนานที่เกี่ยวเนื่องกับโคกอิฐ(อิฐกอง)ชุมชนโบราณในเขตตำบลพร่อน อำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส ตั้งอยู่ริมคลองพร่อนห่างจากที่ว่าการอำเภอตากใบประมาณ 9 กิโลเมตรตามเส้นทางตากใบโคกมะม่วง-โคกใน ตำนานกล่าวไว้โดยเล่าสืบต่อกันมาว่าเมื่อประมาณ 600700 ปีมาแล้วบริเวณตากใบปัจจุบันทะเลมีสันทรายผูดขึ้นเป็นจุดๆเป็นเส้นทางผ่านของนักเดินเรือทั้งหลายทั้ง นักแสวงโชค นักผจญภัย พ่อค้า นักบวชบริเวณนี้ไม่มีชื่อไม่เป็นที่รู้จักต่อมามีกลุ่มคนเชื่อสายมอญไทยใหญ่ไทยลื้อ มีความศรัทธาในพุทธศาสนาต้องการจะไปนมัสการสถูปบุโรบุโดในประเทศอินโดนีเซียได้นัดหมายกับชาวธิเบตเพื่อไปนมัสการด้วยกันขณะนั้นพุทธศาสนาได้เสื่อมสูญไปจากอินเดียแล้วแต่ไปเจริญที่ลังกาและอินนีเซียคณะมีหัวหน้าคณะชื่อองค์โทธมะ(โต๊ะชายดำ) เจ้าแสงเพชร (โต๊ะชายเพชร)นางสงวน ทองทิพย์เกสร(ภรรยาเจ้าแสงเพชรน้องสาวองค์โทธมะ) เจ้าจันทร์แดง ตาอินทร์ ยายจันทร์ ฯลฯ เดินทางมาพร้อมกับเรือ 7 ลำ พร้อมสัมภาระของมีค่าต่างๆๆเช่น ทองคำ พระพุทธรูป ฯลฯ เดินทางมาถึงปากแม่น้ำใหญ่เรือได้ถูกพายุและกระแสน้ำไหลเชี่ยวทำให้เรือคณะลำหนึ่งล่มลง นางสงวน ทองทิพย์เกสรเสียชีวิตที่ปากน้ำนี้ด้วยเมื่อคลื่นสงบจึงช่วยกันกู้เรือเก็บสัมภาระต่างๆ พร้อมกับรอขบวนเรือของชาวธิเบตไปด้วยขณะที่รอต้องคอยหลบหลีกโจรสลัดที่คอยปล้นเรือคณะได้นำเอาใบเรือขึ้นฝั่งไปตากแดดตามสันทรายต่อมาบริเวณนี้รู้จักกันในนาม ตากใบเพราะไม่เคยมีชื่ออื่นมาก่อนคณะทั้งหมดได้ตัดสินใจนำขบวนเรือล่องเข้าไปตามลำน้ำคลองพร่อนและตั้งชุมชนขึ้นรู้จักในภายหลังว่า โคกอิฐ ต่อมาคณะได้ถูกโจรสลัดชาวจีนปล้นเรือและทรัพย์สินมีค่า มีคนถูกฆ่าเป็นจำนวนมากที่เชื่อกันว่าส่วนหนึ่งเป็นบรรพบุรุษของชาวพร่อน(ตากใบ)พร้อมกับถ่ายทอดความเชื่อ(นับถือหงส์)ประเพณีวัฒนธรรม ภาษาพูด เล่ากันว่าทรัพย์สมบัตินอกจากจะฝั่งไว้ที่โคกอิฐแล้วนำไปเก็บไว้ที่เขากำปั้นที่ถ้ำฤาษีในเขตกะลุวอเหนือ อำเภอเมืองนราธวาส จังหวัดนราธิวาส
สรุปคำว่า ตากใบน่าจะมาจากตากใบเรือนี้เอง โดยพิจารณาจากเหตุการณ์สภาพแวดล้อม

2 แหล่งที่พูดสำเนียงตากใบ(ภาษาเจ๊ะเห)
มีข้อน่าสังเกตว่ากลุ่มบุคคลที่พูดสำเนียงตากใบ(ภาษาเจ๊ะเห)จะอยู่บริเวณริมฝั่งอ่าวไทยได้แก่บริเวณต่อไปนี้
2.1 จังหวัดนราธิวาส พูดกันได้ทุกอำเภอ
2.2 จังหวัดปัตตานีใช้พูดในอำเภอบาเจาะ(พิเทน) , อำเภอปานาเระ , อำเภอสายบุรี , อำเภอทุ่งยางแดง , อำเภอไม้แก่นและอำเภอกะพ้อ
2.3 จังหวัดจันทบุรีมีสำเนียงคล้ายตากใบที่บ้านคลองลาว ตำบลท่าใหม่ อำเภอนายายอาม
2.4 ชาวมาเลเซียเชื้อสายไทยในรัฐกลันตันฝั่งตะวันออก เช่น ตุมปัด , ปาเซมัส , ปาเซร์บุเต๊ะ , โกตาบารูและตาเนาะห์แมเราะห์
3 ประวัติและความเป็นมาของคนที่พูดสำเนียงตากใบ
                เนื่องจากภาษาพูด วัฒนธรรม ความเป็นอยู่ของชาวตากใบ แปลกกว่าท้องถิ่นทั่วๆไปจึงเป็นปัญหาว่าพวกเรามาจากไหนจากการสอบถามผู้มีความรู้รุ่นก่อนๆบอกแต่เพียงว่ามากจาก สะตกคำว่า สะตกหมายถึงทิศตะวันตกเป็นคำเรียกให้หมายความว่าได้อพยพมาจากตอนบนของประเทศแต่บอกไม่ได้ว่ามาจากไหนแต่จากการศึกษาจากเอกสารต่างๆได้กล่าวความเป็นมาของภาตากใบและบอกใกล้เคียงไว้ในเอกสารต่อไปนี้
3.1 จากสารานุกรมวัฒนธรรมไทยภาคใต้ เล่มที่ 12 หน้า 56795691 ว่าได้มีนักภาษาศาสตร์ 2 ท่านได้ทำการศึกษาวิจัย
                  ท่านที่ 1 J.Marvin  Brown จากผลงานวิจัยเรื่อง From Ancient Thai Modern Dialects ว่าภาษาไทยถิ่นใต้ตากใบมาจากสุโขทัยโดยตรง ตั้งแต่ ค.ศ. 1400 (พ.ศ.1943) อีกสายหนึ่งจากสุโขทัยตรงมาที่นครศรีธรรมราชกลายเป็นภาษาถิ่นของจังหวัดต่างๆ
                  ท่านที่ 2 Anthony Van Nostrand Diller ในวิจัยชื่อ Toward a model of southern Thai Dialossic speech Variation โดยแบ่งเป็นกลุ่ม A – F กลุ่ม F เป็นภาษาที่ใช้พูดอยู่ในจังหวัดยะลา ปัตตานี นราธิวาส และสตูลบางส่วนทั้งสองท่านไม่ได้กล่าวถึงภาษของคนไทยเชื้อสายมาเลเซียที่อยู่ในบริเวณรัฐกลันตัน ตรังกานูของประเทสมาเลเซียแม้จะมีภาษาใกล้เคียงกันมาก
3.2 วีระ  สุวรรณ และแฮลาย  ปรามวล
  วีระ  สุวรรณ และแฮลาย  ปรามวล ได้กล่าวในบทนำหนังสือชื่อบันทึกมรดกวัดไทยในรัฐกลันตันความโดยย่อตอนหนึ่งว่าคนมาเลเซียเชื้อสายไทยหรือคนสยามที่อาศัยอยู่ในรัฐกลันตันเป็นชนชาติที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ในรัฐกลันตันมานาสันนิษฐานว่ามากกว่า 600 ปี ส่วนใหญ่จะใช้ภาษาไทยถิ่นใต้สำเนียงตากใบหรือภาษาเจ๊ะเหในชีวิตประจำวัน (คนไทยบางส่วนในจังหวัดนราธิวาสและปัตตานีก็ใช้ภาษาเจ๊ะเหในชีวิตประจำวันคาดว่าชนกลุ่มนี้จะอาศันอยู่ในรัฐและจังหวัดที่อยู่ที่กับทะเลจีนใต้)
การอยู่อาศัยของคนสยามในรัฐกลันตันแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม
1. กลุ่มที่อยู่อาศัยชายแดนประเทศไทยอาศัยในเขต 3 อำเภอคือ
                  - อำเภอตาเนาะแมเราะห์ติดกับอำเภอแว้ง
                  - อำเภอปาเสมัสติดกับอำเภอสุไหงโก ลก
                  - อำเภอตุมปัดติดกับอำเภอตากใบ
2. กลุ่มติดทะเลจีนใต้
                  - จะอยู่อาศัยกับแม่น้ำที่เชื่อมกับทะเลจีนใต้ เช่น แม่น้ำสุไหงโก ลก แม่น้ำกลันตัน แม่น้ำเสมอรัก
3. กลุ่มอื่นๆ
                  - คือกลุ่มที่อพยพมาจากกลุ่มที่ 1 และ 2 เพื่อหาที่ดิน ทำนา ทำไร่ เมื่อได้ที่เหมาะสมจึงตั้งเป็นชุมชน
                  นอกจากนี้ประวัติของหมู่บางหมู่บ้าน เช่น บ้านยามู อำเภอตุมปัดกล่าวว่า บ้านยามูเริ่มต้นในสมัยอยุธยาโดยพระเจ้าแผ่นดินของอยุธยาได้เสด็จมาถึงหัวเมืองทางใต้หรือหัวเมืองมาลายูขณะทรงหยุด
พักทับช้างเผือก  ซึ่งเป็นช้างทรงของพระองค์ ได้เตลิดหนีเข้าป่า พระองค์จึงให้ทหารและไพร่พล….ออกตามหาช้าง และคาดโทษล่วงหน้าไว้ว่าหากจับช้างไม่ได้ จะประหารชีวิตทั้งหมด (เรื่องเดียวกัน หน้า 55)
ที่หมู่บ้านบังหญัง อำเภอตุมปัด กลันตัน จากคำบอกเล่าต่อๆกันมาหลายชั่วอายุคนพอจับใจความได้ว่า กลุ่มคนที่อาศัยหมู่บ้านบังหญัง เป็นกลุ่มคนที่มาจากสุโขทัยตอนปลาย (เรื่องเดียวกัน หน้า 75)
        ช้าง นี้ปรากฏชื่อเกี่ยวกับ ช้าง อยู่ในเขตนราธิวาส 3 แห่ง ด้วยกัน คือ
-              บ้านปลักช้าง อยู่ในเขตตำบลพร่อน อำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส เดิมเป็นปลักขนาดใหญ่
-              ตำบลไพรวัน อำเภอตากใบ บางคนได้ให้ข้อสังเกตว่าน่าจะมาจาก พลายวัน
-              อำเภอบาเจาะ จังหวัดนราธิวาส มีชื่อบ้านว่า กาเยาะมาตี แปลว่า บ้านช้างตาย ” (มาจากคำว่า คช คะชา กาเยาะ (ช้าง)-มาตี (ตาย)
3.3 เจริญ ไชยชนะ ได้กล่าวไว้ในหนังสือภูมิศาสตร์ประวัติศาสตร์สากล พิมพ์เมื่อ พ.ศ. 2492 มีข้อความดังนี้
                ประจวบ กันครั้งนั้น  มีเหตุเกิดขึ้นในประเทศลานนาไทย  เมื่อพระเจ้าสามฝั่งแกนขึ้นครองเมืองเชียงใหม่  เจ้ายี่กุมกาม  ผู้เป็นพระเชษฐา  ซึ่งครองเมืองเชียงรายอยู่  ก็ปรารถนาจะได้ครองเมืองเชียงใหม่  จึงยกทัพมาหมายจะรบ  แต่กลับสู้ทัพเชียงใหม่ไม่ได้  จึงขอกำลังพระมหาธรรมราชาที่ 2  ไปช่วยพระมหาธรรมราชาที่ 2  เห็นเป็นโอกาส จึงเชิญสมเด็จพระราเมศวร  ขึ้นไปที่เชียงใหม่  พระมหาธรรมราชาเป็นทัพหน้า  ครั้งนั้นได้ครอบครัวเป็นพวกไทยลื้อ เป็นเชลยมาเป็นอันมาก  จึงโปรดให้ส่งไปตั้งภูมิลำเนาอยู่ตามหัวเมืองในแหลมมาลายู  นับเป็นต้นวงศ์ของพวกชาวนคร  ที่ยังพูดเป็นสำเนียง ลื้อ  และใช้ศัพท์ภาษาไทยลื้อปัจจุบันนี้’’
3.4 จากพงศวดาร  สมัยอยุธยา ได้บันทึกไว้ในสมัยพระราเมศวร (ครั้งที่ 2) มีข้อความว่า
เมื่อศักราช 746  ปีชวดฉอศก  (พ.ศ.1927) สมเด็จพระราเมศวร ให้เลียบพลขึ้นไปเมืองเชียงใหม่  ตั้งค่ายหลวงใกล้คูเมือง 150  เส้นให้เร่งปล้นวันจันทร์  เดือน 4 ขึ้น 4 ค่ำ เพลา 3 ทุ่ม  2 บาท  เดือนตก เจ้าพนักงานยินปืนใหญ่  ปืนน้อย  ระดมทั้ง 3 ด้าน เอากระไดหก พาดปืนกำแพงขึ้นไป พระเจ้าเชียงใหม่ต้านไม่ได้ เทครัวหนีออกเพลา 11 ทุ่ม ทหารเข้าเมือง ได้แต่นักส้างบุตร เจ้าเมืองเชียงใหม่มาถวายพระเจ้าอยู่หัวตรัสกับนักส้างว่า พระเจ้าเชียงใหม่บิดาท่าน หาสัตยานุสัตว์มิได้ เราคิดว่าจะออกมาหาเราโดยสัตว์  เราจะให้คงครองราชย์สมบัติ  ตรัสดังนั้นแล้วให้นักส้าง ถวายสัตยานุสัตว์ พระเจ้าอยู่หัวก็ให้แบ่งไพร่พลเมือง ไว้ตามสมควร เหลือนั้นก็ให้เทครัวอพยพหญิงชายลงมา ให้นักส้างลงส่งเสด็จถึงหัวเมืองสวางบุรี ทรงพระกรุณา ให้นักส้าง กลับขึ้นไปครองราชย์สมบัติในเมืองเชียงใหม่ พระเจ้าอยู่หัวเสด็จ เข้าเมืองพิษณุโลก นมัสการพระชินศรี พระชินราช เปลื้องเครื่องต้นสักการบูชา สมโภชเจ๊ดวัน เสด็จลงมาพระนคร และลาวาซึ่งต้อนลงมานั้น ให้ส่งไปไว้เมืองพัทลุง เมืองสงขลา เมืองนคร เมืองจันทบูชา แล้วเสด็จออกทรงศีล ยังพระที่นั่งมังคลาภิเษก เพลา 10 ทุ่ม
                จากพงศาวดารอยุธยา และจากประวัติศาสตร์ทำให้เชื่อได้ว่า กลุ่มคนที่พูดสำเนียงตากใบ (เจ๊ะเห) ทำให้เขตปัตตานี นราธิวาส ยะลา คนเชื้อสายไทยในมาเลเซีย เป็นคนกลุ่มเดียวกัน คือพยพมาจากภาคเหนือแถบเชียงใหม่ สุโขทัย ทั้งนี้ พิจารณา วัฒนธรรมด้านต่างๆ ซึ่งเป็นภาษากลางเลิกการใช้แล้วแต่ทางตากใบยังใช้อยู่ ดังปรากฏในหนังสือ ไตรภูมิพระร่วง พระราชนิพนธ์ โดย พระมหาธรรมราชาลิไท
เช่น  เลิก     หมายถึง     ยกขึ้น
        เบิก      หมายถึง    เปิด
        ผ้าร้าย   หมายถึง    ผ้าขี้ริ้ว
        ครน     หมายถึง    เกรงกลัว
        โจกเจก  หมายถึง    ตั้งแง่ ฯลฯ

4. ลักษณะของภาษาถิ่นใต้ตากใบ (เจ๊ะเห)
                ท่วงทำนองการพูดนิ่มนวม เนินช้า ไม่กระด้าง อ้อยสร้อย ผิดกับภาษาถิ่นใต้อื่นๆ ที่ห้าว ห้วน     เฉียบขาด เร่งเร้า รวบรัด แต่เนื่องจากตากใบ เป็นทางผ่านของนักเดินเรือ นักผจญภัย นักเสี่ยงโชค นักพรต นักบวช พ่อค้า เคยอยู่ในเขตการปกครองของอาณาจักรโบราณ หลายอาณาจักร เช่น ลังกาสุกะ ตามพรลิงค์
ฃศรีวิชัย มัชปาหิต เจนละ ตลอดจนชาติตะวันตก ทำให้มีภาษาต่างๆปะปนอยู่ในสำเนียงตากใบ (เจ๊ะเห) มากมาย เช่น ภาษาชวา-มาลายู ภาษาเขมร ภาษาจีน ภาษาบาลีสันสกฤต
5. ข้อสังเกตบางประการเกี่ยวกับคนที่พูดสำเนียงตากใบ
                5.1 การเรียกชื่อ สิ่งของ ดครื่องใช้ จะมีคำราชาศัพท์ ปะปนอยู่ ทำให้เข้าใจว่า บริเวณนี้คงจะเป็นที่ตั้งถิ่นฐานของเจ้านายผู้มีบรรดาศักดิ์สูงพอสมควร
5.2 การใช้คำนำหน้าผู้ชาย ที่บวชเรียนแล้วว่า เจ้าแทนที่จะใช้คำว่า ทิดเหมือนภาคกลางคนที่ไม่ได้บวชจะใช้ คำอื่น เช่น เณรอี ตามด้วยชื่อ
5.3 ผู้ชายมีอายุ นิยมโพกหัวด้วยผ้าขาวเชื้อสายเจ้านายทางเหนือ
5.4 เมื่อ 60 -70 ปี มาแล้ว พ่อกับลูกใช้คำพูดว่า กู แทนตัวเองถือว่าเป็นคำสุภาพ
5.5 นับถือรูปหงส์ ผู้ที่จะบวชเรียนจะมีซองหมากพลู ธูปทำเทียน ดอกไม้ และรูปหงส์แกะสลักให้ลูกหลานไปกราบขอขมาผู้สูงอายุ หรือขอขมาลาโทษ ตามวัดต่างๆ จะมีเสาธงรูปหงส์ปักเอาไว้ด้วยแต่ปัจจุบันเลื่อนหายไป
5.6 มีคุณธรรม จริยธรรมสูงมาก หากพบพระภิกษุ สามเณรในระหว่างทางจะหลีกทางให้พร้อมทั้งก้มลงกราบที่พื้นดิน ผู้สนศึกษาภาพจิตรกรรมฝาผนัง ได้ที่วัดชลธาราสิงเห ตำบลเจ๊ะเห อำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส
5.7 การแต่งกายของสตรีสูงอายุ จะเกล้ามวย ชาวบ้านเรียก เกล้ามวยดากแตแหรและจะมีผ้าคลุมหน้าอกคล้ายสะไบ
หมายเหตุ     
คำว่า แตแหร เป็นคำเรียกชื่อมะม่วงหิมพานต์  
ภาษามาลายู อ่านว่า  แตแหร
คำว่า ดาก คือ เมล็ดมะม่วงหิมพานต์ส่วนที่แข็ง
6.วิถีชีวิตชาวตากใบ
                ชาวตากใบมีวิถีชีวิตที่ละม้ายคล้ายคลึงกับชาวไทยท้องถิ่นโดยทั่วไป เมื่อได้ผสมผสานสภาพความเป็นอยู่ร่วมกันกับวิถีชีวิตของชาวไทยมุสลิมแล้ว ทำให้เกิดความกลมกลืนกันในทางด้านภาษาและสภาพความเป็นอยู่ในบางส่วน ที่ต้องมีการพึ่งพาอาศัยกันเรื่อยมาด้วยความปกติสุขแต่อย่างไรก็ตามด้วยลักษณะของความเป็นไทยท้องถิ่นที่ยังคงรักษาประเพณีวัฒนธรรมเฉพาะของตนเองสืบทอดต่อๆ กันมา ๆ คนไทยที่ใช้ภาษาถิ่นตากใบจึงยังคงมีการสืบทอดลักษณะเฉพาะของตนเองที่เป็นเอกลักษณ์พอจะสังเกตได้ในด้านต่างๆ ดังต่อไปนี้
6.1 ลักษณะการสร้างบ้านเรือน
        1.1  นิยมสร้างบ้านชั้นเดียวเพราะถ้าสร้างบ้านเป็น 2 ชั้นขึ้นไปในบางครั้งเด็กอาจะไปอยู่บนชั้นที่สูงกว่าหรือบนหัวของผู้ใหญ่ และในกรณีพระกับชาวบ้านก็เช่นกัน ชาวบ้านก็เช่นกัน ชาวบ้านไม่ควรอยู่บนหรืออยู่ในที่สูงกว่าพระ ไม่ว่าจะเป็นพระพุทธรูปหรือพระสงฆ์ จะเป็นสิ่งที่ไม่ดี แสดงให้เห็นถึงความเชื่อของชาวบ้านที่เชื่อถือต่อกันมา
       1.2  ไม่นิยมการสร้างบ้านให้ตั้งอยู่ในทิศที่ความยาวของตัวบ้านขวางทิศทางของดวงตะวันหรือขวางทางกับทิศตะวันออก (คือการสร้างบ้านให้ความยาวของสันหลังคา ยาวจากทิศเหนือไปยังทิศใต้หรือจากทิศใต้ไปทิศเหนือ) เพราะเชื่อว่าเจ้าของบ้านจะอยู่ไม่เป็นสุขจะทำอะไรก็จะมีปัญหาและอุปสรรคอยู่เสมอ
       1.3 นิยมสร้างบ้านยกพื้น ใช้ไม้ทำพื้นบ้านนอกจากไม้กระดานและยังใช้ไม้ชะโอน (หลาวโอน) ไม้หมาก ไม้ไผ่ ตามลำดับ พื้นบ้านมีความแตกต่างหลายระดับกัน เพราะเชื่อกันมาแต่โบราณว่าเด็กไม่ควรนั่งเสมอผู้ใหญ่ ผู้ที่มีศักดิ์หรือฐานะสูงกว่าไม่ควรนั่งต่ำกว่าผู้ที่มีศักดิ์หรือฐานะต่ำกว่า
       1.4  การสร้างบ้านนิยมรองปลายด้านล่างของเสาโดยใช้ฐานรองที่เรียกเป็นภาษาพื้นบ้านว่า ตีนเสา (ปูนหล่อขนาดเสาแต่ส่วนที่เป็นพื้นล่างหล่อให้มีขนาดใหญ่ออกมาเป็นฐานที่มั่นคง) เพราะเป็นประโยชน์ในการรื้อถอน เคลื่อนย้าย กันเสาชื้นผุ และกันปลวก
       1.5 การสร้างบ้านแต่ดั้งเดิม ได้นำส่วนต่างๆ ของบ้าน เช่น เสา  รอด  หลังคา  พื้น  ฝา  ฯลฯ  มา  ประกอบกันเป็นบ้าน โดยใช้เดือยทำจากไม้เหลากลมเจาะและตอกยึดแทนตะปู
       1.6  บ้านที่สร้างเป็นตัวบ้านหลักหลังแรกเรียกเป็นภาษาพื้นบ้านว่า แม่เริน ” (เริน=บ้าน) หลังจากนั้น มีการต่อเติมส่วนประกอบอื่นๆ ตามมา ทำให้บ้านสมบูรณ์พร้อมสำหรับใช้สอยและอาศัยอยู่ได้อย่างมีความสุข ส่วนประกอบของบ้านดังที่กล่าวมา มีลักษณะการสร้างผสมผสานเข้ากับความเชื่อในเรื่องต่างๆ ดังต่อไปนี้
       1.6.2  รึเบียงกับซึหงาบ เป็นตัวประกอบของบ้านรองจากตัวเรือน เอาไว้เพื่อการใช้สอยให้บ้านสมบูรณ์ขึ้นอาจใช้เป็นห้องนอน  ห้องนั่งเล่น  ห้องรับแขก  ห้องครัว  ห้องเก็บของ ฯลฯ การที่จะเรียกชื่อว่ารึเบียงหรือซึหงาบนั้น เรียกได้ตามลักษณะการต่อเติมบ้านที่แตกต่างกันคือ รึเบียง  จะใช้เรียกส่วนของบ้านที่ต่อเติมออกมาจากด้านที่เป็นชายคาบ้าน ส่วนที่เรียกว่าซึหงาบจะใช้เรียกว่าส่วนของบ้านที่ต่อเติมออกมาจากทางด้านที่เป็นจั่วของบ้าน
       1.6.3 บันได  ขั้นบันไดหรือลูกบันไดมักใช้ไม้กลม นิยมใช้จำนวนขั้วเป็นเลขคี่ เพราะมีความเชื่อด้านไสยศาสตร์ว่าถ้าเป็นเลขคู่ จะเป็นบันไดใช้สำหรับผีเดิน
       1.6.4  ประตู  ไม่นิยมทำหันหน้าไปทางทิศตะวันตก เพราะมีความเชื่อทางไสยศาสตร์ ว่าไม่เป็นมงคล และวัสดุที่ใช่ทำประตูห้ามทำจากไม้ไผ่ขัด
       1.6.5  หน้าจั่วภาษาตากใบเรียกว่า หัวตะโหร่ หน้าจั่วทั้งสองข้างของหลังคาบ้านจะทำขึ้นจากไม้ไผ่สานเพื่อปิดป้องกันแสงแดด กันฝนสาด และใช้ป้องกันไม่ให้สัตว์มีพิษและสัตว์อื่นๆ เข้ามาในบ้านได้
       1.6.6  หลังคาที่มุงด้วยจาก จะร้อยผูกแกนไม้ตับจากกับโครงหลังคาด้วยเชือกที่ทำจากต้นไม้ไผ่อ่อนที่ภาษาพื้นบ้านเรียกว่า ตอกบิด
       1.6.7  ฝาบ้าน ทำด้วยไม้กระดานเรียกว่า กือดานก้าน (กั้น) หรือทำด้วยไม้ไผ่สานขึ้นอยู่กับฐานะ ความจำเป็นและความยากง่ายในการทำ ส่วนมากห้องนอนหรือที่นั่งเล่นประจำนั้นมักกั้นด้วยไม้เพราะว่ามิดชิดกว่า
6.2 อาชีพ
       2.1 อาชีพเกษตรกรรม โดยเฉพาะการทำนาเป็นอาชีพหลักนอกจากนั้นคือทำสวน ทำไร่เป็นอาชีพรองลงมา  แต่ที่เป็นมาแต่ดั้งเดิมจะทำนาเพียงอย่างเดียวแล้วหยุดพักผ่อนเพื่อรอฤดูการทำนาในปีต่อไป จะมีการเพาะปลูกบ้างก็คือปลูกพืชผักสวนครัวเพื่อบริโภคในครัวเรือนและแลกเปลี่ยนแบ่งปันกันกินหรือมีค้าขายบ้างแต่มีเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
       เครื่องมือเครื่องใช้ทางการเกษตรก็จะผลิตขึ้นมาเองโดยใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่นที่สั่งสมการปรับปรุงมาอย่างต่อเนื่องให้เกิดการพัฒนาเปลี่ยนแปลงรูปร่างให้เป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพ เครื่องมือในการประกอบการอาชีพการเกษตร เช่น ตาเยาะ ไถ แอกเดี่ยว จอบ พร้า กือปะ มีดทับ
       2.2 อาชีพประมง  เป็นอาชีพรองลงมา ในที่นี้คือการประมงพื้นบ้าน เป็นการประมงน้ำจืดที่สามารถนำมาใช้บริโภคในครัวเรือน และเมื่อเหลือกินเหลือใช้ก็นำมาแลกเปลี่ยนแบ่งปันหรือนำมาขายหารายได้เข้าสู่ครอบครัว
       เครื่องมือทำประมงน้ำจืด เช่น  แห  หยุด  ไซ  ซ่อน กระบอกดักปลาไหล (ภาษาตากใบเรียกว่า ทวน ภาษากลางเรียก ลัน” ) เล้า สุ่ม นั่งได้  กือหย่อง ร้านวิ่ง  ดักหลุม  ดักไห รางวิดปลา ปิด  ตะโล๊ะ  ทงเบ็ด  ตกเบ็ด ฉมวก  คึนาง 
       2.3  อาชีพล่าสัตว์อื่นๆ  เป็นอาชีพที่คนส่วนมากไม่ค่อยจะนิยมเพราะถือว่าเป็นการทำบาป มีคนเพียงส่วนน้อยบางคนที่ชอบล่าสัตว์ตามท้องถิ่น เช่น  นก  กะรอก  แย้  แลน (ตะกวด) และที่อาศัยตามป่า เช่น หมูป่า  ค่าง  ลิง  ไก่ป่า  มูสัง  หนูนา  ค้างคาว  ต่อ  ผึ้ง  ฯลฯ
       เครื่องล่าสัตว์  เช่น  ปืนแก็บ  หน้าไม้  ปาง  (หนังสะติ๊ก) ธนูคัน (ทำแบบธนูแต่ใช้กระสุนเหมือนกับหนังสะติ๊ก) แร้ว  แร้วคัน  แร้วกระบอก (ดักแย้) กับดักหนู  กือบับ (กับดักหนูแบบภมิปัญญาพื้นบ้าน) หวุบ  เบ็ดราว  เป็นต้น
6.3 อาหารการกิน
       อาหารคาว  อาหารหลัก คือ ข้าว มีบางครั้งบริโภคกลอย เผือก มัน และบุก
       แกงที่ใช้รับประทานกับข้าว เช่น  แกงกะทิ  แกงส้ม  แกงเรียง  ตุหมิ (สมรม) ปลาต้ม ปลากือตุก  
       ปลาผะอวน   ปลาร้าต้ม  ปลารั่วคั่ว  ปลาซ๊อก  ปลาเจี้ยน  ลูกกือไตซอก
มีอาหารที่น่าสนใจเป็นพิเศษและน่าสือทอดไว้ให้เป็นประโยชน์ในทางการใช้สมุนไพร คือ ข้าวที่หุงเป็นลักษณะเฉพาะคล้ายข้าวยำ แต่ประกอบด้วยสมุนไพรหลายชนิดที่เข้มข้นกว่าข้าวยำเรียกว่า ข้าวขยา  ใช้รับประทานแทนข้าว  และนอกจากนี้ยังมีน้ำแกงที่ปรุงด้วยสมุนไพรเหมือนกับที่ใช้หุงข้าวขยาใช้ดื่มเปล่าๆ เป็นอาหารว่างไม่ได้รับประทานกับข้าวขยาหรือข้าวเปล่าแต่อย่างใด เรียกว่า  ขยาเปียก  อาหารสองอย่างนี้ชาวพื้นบ้านตากใบ  เชื่อถือว่ามีประโยชน์ต่อร่างกายหรือปรุงขึ้นเป็นอาหารว่าง แล้วชักชวนเพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียงมารับประทานด้วยกันซึ่งคนที่ได้รับการชักชวนถือว่าเป็นผู้ที่มีเกียรติที่ได้รับความรักและปรารถนาดี เพราะปรุงขึ้นมาเป็นพิเศษอยากจะให้ญาติมิตรได้มารับประทานด้วยกัน
       มีอาหารพิเศษและทำง่ายๆ ใช้เป็นแก้โรคบางอย่างเรียกว่า การเปียก (การปรุงให้เป็นน้ำ) เช่น  เปียกชะเอาะหรือชะเอาะเปียก  เปียกใบยอ เป็นต้น  ส่วนมากมักบอกว่า  แก้รัดดวง (ริดสีดวง
       อาหารหวาน  เช่น  ปะหงาด  (บวด) กอแหล บอขอ ดอดอย  กือเหนียวชาว (ซาว)  พร้าว   ขนมโก          บัวลอย (ลอดช่อง) ขนมคนที ขือเหนียวกวน  ข้าวเปียก  ขนมปำ
6.4 การแต่งกาย (ภาษาตากใบใช้ว่า  แต่งตัว, กือดับดัว, ทรงเครื่อง)
       ผู้ชาย  สมัยก่อนนุ่งผ้าทอ ผ้าสโสร่ง ผ้าซักน้ำ (การนุ่งผ้าปล่อยชายที่ไม่ได้เย็บเป็นผ้าถุงแบบโสร่ง เรียกว่า นุ่งผ้าปล่อย ) โพกหัวผ้าเช็ดหน้าหรือผ้าขาวม้า การนุ่งผ้านั้นสลับชายไว้ข้างหน้าแล้วม้วนขึ้นเป็นก้อนไว้หน้าท้องเรียกว่า นุ่งผ้ากือแหม็ด  ไม่ใส่เสื้อ ไม่ใส่เกือก (รองเท้า) เมื่อเวลาไปงาน คนรวยเหน็บกริชพร้าโอ่  หรือถือมีดลาดิง ต่อมานิยมนุ่งผ้าแดงเลือดนก  นุ่งผ้าอ่อน (ผ้าสีน้ำเงิน) ไม่ใส่เสื้อ ต่อมานุ่งกางเกงขาสั้นและขายาว (เหน็บเพลา) สีกากี และนุ่งผ้าโสร่งใส่เข็มขัด ใส่เสื้อ หรือเสื้อโก๊ะ แล้วพัฒนาตามลำดับมาจนกระทั่งแต่งอย่างปัจจุบัน
       ผู้หญิง  นุ่งผ้าถุง (โสร่ง) นุ่งผ้าไหม โสร่งดอกหญ้า รัดสายเอว (เข็มขัด) คนทั่วไปใช้สายเอวเงิน (เข็มขัดเงิน) คนรวยใช้สายเอวนาค  ใส่เสื้อ ห่มเสื้อเข้าตัว (เป็นเสื้อทรงไทยเอวเข้ารูป) เสื้อบางชนิดมีชื่อ เรียก  เช่น เสื้อบายอ ( แขนยาวชายยาวข้างหน้า) สมัยก่อน บางครั้งมีการห่มผ้าบือไลเหนียง (ใช้ผ้าแพรหรือผ้าขาวม้าคล้องคอแล้วสอดสลับเฉียงผ่านใต้รักแร้ไปด้านหลังเพื่อปิดนม) เมื่ออยู่กับบ้านนุ่งผ้าอิงนม (การใช้ผ้าชนิดต่างๆ  พันตัว  ส่วนมากเป็นผ้าถุงที่นุ่งให้สูงเพียงรัดเอาไว้ที่อก) เครื่องประดับ ใส่สายมือ  ไม้หูสายคอ แหวนเป็นหัว  หรือปล้องอ้อยแล้วแต่หาได้  ทรงผม  เกล้ามวยดากกือแหร  ไม่ใส่เกือก (รองเท้า)
6.5การละเล่น
5.1  การละเล่นพื้นบ้านประเภทการละเล่นสำหรับเด็ก          
5.2  การแสดงพื้นบ้าน

1.เดินกือพก                                      2.โนราแขก
3.หมาชิงมุม                                          4.โนราโลน      
5.ชนลูกยาง                                   
6.ซีละ
7.โลกแก็บ                                   
8.เครื่องปีโคม
9.โลกข่าง                                             10.ลิเกฮูลู                                               
11.โลกเรือบิน                                         
12.โลกทอด                                13.หมากราง                                          14.ยิงรางยางวง                                   15.เป่ายางวง                              
16.โลกล้อ                                

6. การทักทายและการต้อนรับ มีการกล่าวทักทายในลักษณะของสถานการณ์ต่างๆ ดังนี้
       6.1  เมื่อไปเจอกันตามสถานที่ต่างๆ เช่น  มึงมานานแล้วหมี
       6.2  เมื่อจะเดินทางกลับหรือพบปะกันนอกบ้าน เช่น  จีไปข้างขือไหน”, “ เตอะไปเรเรินกูเด้
       6.3  เมื่อไม่ได้พบเจอกันเวลานาน เช่น  สบายดีโหย่หมี ” , “ พวกตามเรินเพลงไหนโหย่มัง
       6.4  เมื่อมีแขกมาเยือนหรือเจ้าของบ้านกำลังจะรับประทานอาหาร 
เช่น  ขึ้นมาก่อนมากินข้าวเย็นก่อนเติด ฯลฯ
       การทักทายบางโอกาสจะมีการพูดหลาย ๆ อย่างตามข้อที่กล่าวมาข้างต้น